
ในยุคสมัยที่เรียกว่าไทยแลนด์ 4.0 นี้ อะไรก็สะดวกสบายไปทั้งหมด ยกตัวอย่างง่ายๆไม่ได้เอากระเป๋ามาแต่มีมือถือเครื่องเดียวก็สามารถจ่ายเงินเพื่อทำการชำระเงินได้ หรือนำมือถือนำไปกดตู้เอทีเอ็มแบบไม่ใช้บัตรเอทีเอ็มได้อย่างสบายๆ ไม่ต้องห่วงว่าจะมีใครมาก้อปปี้เพื่อล้วงข้อมูลจากบัตรเอทีเอ็ม ในทำนองเดียวกัน พ่อค้าแม่ค้าก็มีคิวอาร์โ ค้ต สำหรับชำระเงินแบบใหม่โดย ไม่ต้องยุ่งยากในการที่จะเตรียมเงินทอนเอาไว้ให้ลูกค้า เป็นพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีที่ก้าวไปอย่างไกลทีเดียวเชียว พูดถึงการซื้อของก็ยังเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขายสินค้า ออนไลน์ ผ่านทางสังคมอินเตอร์เน็ต ก็มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย หากว่าการส่งของหากว่าส่งออนไลน์ประมาณว่าสั่งปุ้บส่งปั๊บสามารถคว้าสินค้าหมับ ผ่านทางคอมพิวเตอร์ได้ก็คงจะทำกันไปนานแล้ว อย่างไรเสียก็ต้องพึ่งพาผ่านส่งผ่านไปรษณีย์เช่นเดิม แหมๆ ตอนแรกผมก็คิดว่า เมื่อมีการสื่อสารทางอีเมลล์แล้ว ไปรษณีย์เห็นจะขาดทุนแน่นอน เริ่มแรกก็ยกเลิกการส่งโทรเลขไปตั้งแต่ วันที่ 1 พฤษภาคม 2551 ไปแล้ว หลายคนต่างก็คาดหมายว่าสิ่งต่างๆของธุรกิจไปรษณีย์จะหายไปเรื่อยๆจนกระทั่งมีการยุบ ปิดตัวการไปรษณีย์ไทยไปเสียแล้ว แต่หาใช่ไม่ ธุรกิจไปรษณีย์ไทยเกือบทำให้หมอดูและหมอเดาทั้งหลายตกงานไปเสียนี่ เพราะเป็นการปิดตัวหนึ่งอย่างเพื่อถอยไปตั้งหลักใหม่ กลายเป็นว่าธุรกิจไปรษณีย์ไทย ได้กำไรมากที่สุด เป็นรองไปจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตไปอย่างฉิวเฉียด ธุรกิจไปรษณีย์ไทยมีการพัฒนามากมายไปจากเดิมเยอะ หากย้อนกลับไปเมื่อ ห้าสิบปีก่อนนั้นการส่งพัสดุทางไปรษณีย์ไทยนั้น ลำบากมากสำหรับเด็กๆอย่างผม (ในสมัยนั้น) ต้องหากล่องมาเพื่อห่อกระดาษ (ต้องเป็นกระดาษสีน้ำตาลด้วยนะ )หลังจากนั้นก็เป็นเชือก เพื่อที่จะนำมามัดอย่างแน่นหนา ไม่พอยังต้องหา ครั่ง เด็กสมัยนี้คงไม่ค่อยรู้จักเท่าไรนัก เท่าที่จำได้เค้าเอาครั่งมาลนไฟแล้วหยดลงตรงเชือกที่เอามามัดนั่นแหละครับ เห็นว่าเป็นการทำให้เชือกนั้นดูแข็งแรงขึ้น (รึเปล่า) ก็ไม่ทราบนะครับ แต่ในสมัยนี้มีกล่องสำเร็จรูปครับ เป็นกล่องเบ็ดเสร็จไม่ต้องหากระดาษมาห่อให้ยุ่งยาก กล่องจะมาแบบแบนๆสำเร็จรูป แต่ ตัดตรงนั้นตรงนี้เพื่อให้สามารถประกอบเป็นกล่องได้ แถมยังมีการพิมพ์หน้ากล่องให้เรากรอกไปเลยว่าผู้ส่งคือใคร ผู้รับคือใคร มีช่องที่อยู่เว้นไว้ให้ผู้ส่งเขียนที่อยู่ของผู้รับ ได้เป๊ะมาก เรียกว่า มีปากกาด้ามเดียวก็เสียวได้ เอ้ย ก็ส่งได้
หากใครนิยมที่จะส่งแบบเอกสาร แฟ้ม หรือเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นก็ยังสามารถที่จะส่งได้ทันทีเช่นกัน ทางธุรกิจไปรษณีย์เค้าก็เตรียมพร้อมไว้ให้ เมื่อยี่สิบปีก่อนมีเป็นซองกระดาษ แต่เนื่องจากซองกระดาษไปรษณีย์ไม่มีความมั่นคง หากพนักงานไปรษณีย์ที่แว้นท์ไปส่งให้แก่ผู้รับเจอะฝนกลางทางแล้วเกิดเหตุที่ไม่คาด ฝัน น้ำฝนย้อยไปโดนซองกระดาษนั้นละก็ เสร็จกัน ซองกระดาษอาจจะยุ่ยเละ เป็นผลให้ของภายในนั้น เสียดายก็เป็นได้ อย่ากระนั้นเลยท่านจึงคิดถึงซองพลาสติกขึ้นมาได้ (ช่างอัจฉริยะนัก)

ซองไปรษณีย์พลาสติก แน่นอนว่าต้องทำมาจากพลาสติก ผู้ผลิตทำมาสองแบบให้เลือกซื้อตามความต้องการ คือ แบบที่ มีสองด้านคือด้านหน้ากับด้านหลัง ด้านหน้านั้นมีแบบฟอร์มพิมพ์สำเร็จรูป เพื่อให้เขียนชื่อที่อยู่ของผู้ส่ง และชื่อที่อยู่ของผู้รับ กับแบบโล่งๆ ซึ่งราคาจะถูกกว่า ด้านบนมักจะมีแถบกาวเพื่อความสะดวก เมื่อบรรจุสิ่งของที่ต้องการส่งก็สามารถปิดผนึกได้เลย สำหรับขนาดนั้น ไม่ต้องห่วง มีหลายขนาด เทียบตามแต่ของที่จะส่ง เท่าที่ผมเห็นมีประมาณ 6 ขนาดได้ครับ
- ขนาด 20x30 เซนติเมตร ประมาณ เอ5 ถึง เอ4 ครึ่ ง ขนาดนี้สามารถใส่หนังสือ pocket bookหรือใส่เสื่อยืดสัก 1 ตัว หรือชุดว่ายน้ำไม่ว่าจะเป็นแบบเต็มตัวหรือแบบบิกินี่ ก็สามารถที่จะใส่ได้อย่างสบายๆเลยครับ
- ขนาด 25x35 เซนติเมตร ประมาณ เอ 4 50-100 แผ่น ขนาดนี้สามารถใส่เสื้อขนาดใหญ่ประมาณ 2 ตัว
- ขนาด 28x42 เซนติเมตร ก็ใหญ่ขึ้นมาหน่อย ขนาดนี้สามารถใส่รองเท้าผู้หญิงมีส้นสัก 1 คู่ได้
- ขนาด 32x45 เซนติเมตร ขนาดนี้ใส่กล่องรองเท้าได้เลย
- นาด 48x61 เซนติเมตร สามารถใส่กระเป๋าเป้ ได้เลยทีเดียวเชียว