บรรจุภัณฑ์พลาสติกมีความเกี่ยวเนื่องกับชีวิตมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากบทบาทที่หลากหลายของบรรจุภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อกับการดำเนินชีวิตของคนรุ่นใหม่ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ด้านความสะดวกสบาย ด้านสุขภาพ ตลอดจนถึงด้านการถนอมอาหาร หากดูจากขนาดของสัดส่วนในการแปรรูปจากเม็ดพลาสติกให้เป็นบรรจุภัณฑ์พลาสติกพบว่ามีสัดส่วนถึง 40% ซึ่งเป็นอันดับที่ 1 เมื่อเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรมการแปรรูปให้เป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกชนิดอื่นๆ นอกจากนี้ บรรจุภัณฑ์พลาสติกในประเทศไทยยังสามารถสร้างมูลค่าได้ถึงกว่า 1 แสนล้านบาท
บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่นิยมใช้กันมากในประเทศไทย แบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ บรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบแข็ง (Rigid packaging) ได้แก่ ขวด และกล่อง เป็นต้น และบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนตัว (Flexible packaging) เช่น ถุง ซอง และห่อพลาสติก เป็นต้น โดยการผลิตนั้นจะใช้เม็ดพลาสติกและกระบวนการผลิตที่แตกต่างกันไปตามประเภทและคุณสมบัติของการใช้งานของบรรจุภัณฑ์ เม็ดพลาสติกที่นำมาใช้ ส่วนใหญ่ได้แก่ โพลีเอธิลีน(Polyethylene:PE), โพลีโพรพิลีน (Polypropelene: PP), โพลีไวนิลคลอไรด์ (Polyvinyl Chloride:PVC), โพลีสไตรีน (Polystyrene:PS), โพลีเอไมด์ (Polyamide:PA), โพลีเอธิลีนเทเรฟทาเลต (Polyethylene Terephthalate:PET), โพลีไวนิลลิดีนคลอไรด์ (Polyvinylidene chloride:PVDC) เป็นต้น ส่วนกระบวนการหลักที่ใช้ ได้แก่ กระบวนการฉีดขึ้นรูป Zinjection moulding) การรีดเป็นแผ่นฟิล์ม (Film extrusion) การเป่าขึ้นรูป (Blow moulding) และการขึ้นรูปด้วยความร้อน (Thermoforming)
อุตสาหกรรมอาหารเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกมากที่สุด คือประมาณร้อยละ 60 ของบรรจุภัณฑ์ทั้งหมด โดยผู้ประกอบการถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม โดยพบว่าผู้คนส่วนใหญ่มักจะตัดสินใจที่จะเลือกซื้ออาหารจากรูปลักษณ์และบรรจุภัณฑ์เป็นอันดับแรก เป็นผลให้ผู้ประกอบการต้องทำการพัฒนารูปแบบและเทคโนโลยีในการผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภค และจากผลของรูปแบบการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไปเป็นแบบวิถีคนเมือง (Urban Lifestyle) นั้นทำให้รูปแบบการผลิตเปลี่ยนไปเป็นการเน้นความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยการเพิ่มการผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ที่มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา และเปิดใช้งานง่าย เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค
รูปแบบของถุงพลาสติกแก้ว ก็เป็นผลิตภัณฑ์อีกรูปแบบหนึ่งที่ได้มาจากการพัฒนาเพื่อตอบสนองรูปแบบวิถีคนเมืองดังกล่าว เป็นการนำพลาสติกที่ได้รับการพัฒนาแล้วด้วยกระบวนเทคนิคทางอุตสาหกรรม มีการรีดและยืดฟิล์มพลาสติกชนิด PP จนได้เป็นฟิล์มพลาสติกชนิด OPP ที่มีคุณสมบัติสะท้อนแสง จึงนิยมเรียกว่า พลาสติกแก้ว หรือพลาสติกแก้ว OPP มีข้อดีในด้านการผลิตโดยการขึ้นรูปได้ง่าย ในแง่ของรูปแบบของบรรจุภัณฑ์นั้นสามารถออกแบบได้สวยงาม ทำให้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ภายในได้อีกด้วย อีกทั้งยังมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตในปัจจุบัน เนื่องจากถุงพลาสติกแก้ว OPP มีคุณสมบัติในการป้องกันการซึมผ่านของอากาศและก๊าซ เป็นผลให้อาหารที่ได้รับการบรรจุอยู่ภายใน ทำให้อาหารที่บรรจุอยู่ภายในเน่าเสียลดลง ซึ่งนับว่าก่อให้เกิดผลดีทางด้านเศรษฐกิจเพราะไม่ทำให้เกิดการสูญเสียทรัพยากรไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ประเภทถุงพลาสติกแก้วในรูปแบบใหม่ๆมักจะมีให้เห็นอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่เพียงแต่จะมีการปรับเปลี่ยนเฉพาะรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังมีการปรับเปลี่ยนโดยคำนึงถึงความสามารถในการรักษาคุณภาพของอาหารให้ใหม่สดเสมออีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถุงพลาสติกแก้ว OPP ชนิดมีแถบกาวเพื่อให้สะดวกในการเปิดปิดได้ง่าย และสามารถเก็บอาหารที่อยู่ภายในได้โดยการปิดปากถุงอย่างสะดวกหากผู้บริโภครับประทานไม่หมด